ประชาธิปไตยของ คุณ แต่ประชาธิปตายของ เรา : บทวิจารณ์ โดย รุสมี ลาแม

ประชาธิปไตยของ คุณ แต่ประชาธิปตายของ เรา

 

หากว่าด้วยเรื่องของอำนาจ มักจะหนีไม่พ้นเรื่องของความรุนแรง การสาดเลือด หรือการต่อสู้ที่นำมาซึ่ง การกราดยิงด้วยอาวุธสงคราม ในเรื่องสั้นเรื่องนี้ก็มีการกล่าวถึงความรุนแรงเช่นเดียวกัน ทั้งสิ่งที่เป็นรูปธรรมและ นามธรรม อย่างการพรรณนาให้เห็นถึงฉากบรรยากาศรอบข้าง ที่ตลบอบอวนไปด้วยกลิ่นอายความแห้งผาก ของพื้นนา พื้นดิน ไฟลามทุ่ง หรือแม้กระทั่งปืนที่พร้อมลั่นไกเสมือนบรรเลงเพลงหนึ่ง ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ ‘เป็นกลิ่นอายแห่งความสูญเสีย’ ดังที่คุณกนกพงศ์ สงสมพันธุ์ ได้กล่าวไว้ในเรื่องนี้

 

กนกพงศ์ สงสมพันธุ์ เป็นนักเขียนจากจังหวัดพัทลุง จนกระทั่งเข้าศึกษาต่อที่คณะวิทยาการจัดการ (เอก คอมพิวเตอร์ธุรกิจ) มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เรียนอยู่ระยะหนึ่งและสอบเข้าศึกษาในคณะเดิม (เอกรัฐ ประศาสนศาสตร์) อยู่ 3 ปี จึงตัดสินใจออกจากมหาวิทยาลัยเพื่อเขียนหนังสือ ซึ่งเขาเกิดและเติบโตในยุคที่มีความ ขัดแย้งทางการเมืองในพื้นที่ภาคใต้ เป็นความขัดแย้งระหว่างกองกำลังของรัฐกับกองทัพปลดแอกประชาชนแห่ง ประเทศไทย (ทปท.) ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พคท.) ซึ่งเป็นความขัดแย้งอย่างรุนแรง (วิกิพีเดีย, 2567) โดยผู้เขียนมีการถ่ายทอดความรุนแรงเหล่านี้ผ่านเรื่องสั้น ‘สะพานขาด’

 

สะพานขาด เป็นเรื่องราวของทหารหนุ่มคนหนึ่งที่ประสบกับสงครามระหว่างสองปีกสองขั้ว ทั้งฝั่งรัฐบาล และประชาชน โดยมีเรื่องของการทำนาเข้ามาเกี่ยวข้อง เพื่อสะท้อนสถานะของเหล่าเกษตรกรในเรื่องที่พยายามดิ้น รนต่อสู้ในการทักท้วงความรับผิดชอบจากการก่อความเสียหายของเหล่ากองทัพทหารที่สร้างความลำบากให้แก่ อาณาประชาราษฎร์ จนกระทั่งนำมาสู่การวางสงครามเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม ผ่านการเรียกร้องสิทธิจากเหล่า รัฐบาล โดยผ่านตัวละครทหารในเรี่อง อย่างไรก็ตาม โดยภาพรวมแล้ว สะพานขาด เป็นเนื้อเรื่องที่กล่าวถึงอำนาจที่ มิชอบธรรม จากกฎหมายที่เบี่ยงเบนจากคำว่าประชาธิปไตยที่แท้จริง

 

เรื่องสั้นเรื่องนี้ ผู้วิจารณ์มีความเห็นว่าเป็นการกล่าวเพื่อตีแผ่สังคมไทยในยุคสมัยนั้น ที่รัฐบาลใช้กฎหมาย หรืออำนาจในการข่มเหงรังแกประชาชนที่ปราศจากอาวุธข้างกาย โดยมีการใช้ความรุนแรงเพื่อกล่าวเสียดสี ความไม่เป็นธรรมจากผู้ที่กุมอำนาจอย่างผ่าเผย ซึ่งไร้ยางอายที่บุคคลเหล่านั้นสามารถละเลยความลำบากหรือทุกข์ ยากของประชาชนทั้งปวง จนนำมาสู่สงครามที่ได้พรากชีวิตของบุคคลสำคัญของตนเอง โดยข้าพเจ้าจะขอกล่าวถึง ในสองประเด็นด้วยกัน ในรายละเอียดต่อไปนี้

 

ประเด็นแรก อำนาจรัฐที่อยู่เหนือชีวิตผู้คนในสังคม เป็นอำนาจที่เกิดขึ้นจากผู้ใช้ที่ไร้ศีลธรรมหรือต้องการ ควบคุมสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้อยู่ภายใต้การปกครองของตนเอง โดยเป็นเรื่องของห่วงโซ่อำนาจของผู้ที่อยู่เหนือกว่า(เบื้อง บน) สั่งการผู้ที่อยู่เบื้องล่างให้เป็นไป  ดังหมากตัวหนึ่งที่ไม่รู้แพ้ชนะสักแต่เป็นตัวที่สามารถหยิบยกได้ดั่งใจ‘นาย’ต้องการ ทั้งนี้เมื่อต้องการควบคุมจึงจำเป็นต้องจัดการบุคคลเหล่านั้นด้วยอำนาจที่ตนมี เช่น การใช้ความรุนแรง การข่มขู่ การทำลายทรัพย์สิน อันเป็นปัจจัยหลักของคนเหล่านี้ให้หมดสิ้น เห็นได้จากการกล่าวว่า

 

“ในนามของกองทัพแห่งประเทศเล่า...กองกำลังเหนือกว่าศาสนากระนั้นหรือ ภาพของการเคลื่อนทัพใน หน้าฝน ซ้อนเข้ามาตอกย้ำถึงการตัดสินใจอีกหน คอมแบ็ตทหารมีอภิสิทธ์ิอันใดจึงสามารถเหยียบย่ำลงบนข้าวกล้า ของชาวบ้านได้ โดยที่พวกเขาไม่มีสิทธ์ิแม้แสดงความเสียดาย...” (น.137)

 

ตัวบทดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงอำนาจรัฐที่อยู่เหนือชีวิตของผู้คนที่สามารถควบคุมสิ่งใดก็ตามที่พวกเขา ต้องการ เมื่อฝ่ายค้านปฏิเสธความต้องการที่ไร้ซึ่งความยุติธรรมต่อตนเอง กำลังทหารรุกรานที่ทำกินของอีกฝ่าย โดยไม่แยแสว่า สิ่งเหล่านั้นจะเป็นที่เลี้ยงชีพเพียงหนึ่งเดียวที่เขามีอยู่ก็ตาม ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความไร้ศีลธรรมของผู้ มีนาจ ที่สามารถกำหนดโชคชะตาความอยู่รอดของใครคนหนึ่ง ที่บัดนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของตนเอง ควบคุมที่ เกิดจากกำลังทหาร ควบคุมที่เกิดจากการครอบครองอาวุธสงคราม หรือควบคุมที่เกิดจากการเรียกตนเองว่า นาย เป็นต้น ทั้งนี้ทั้งนั้น การควบคุมดังกล่าวมักจะนำมาสู่การใช้ความรุนแรงในทุกทาง ดังตัวบทดังนี้ “เราต้องยิงเขา และเพื่อนเขาให้หมด เราจึงจะชนะ...” (น.125)

 

และตัวบท “เรามีปืนจริง มีกระสุนจริง และมีความตายจริง ๆ เรามีสิ่งนี้ให้แก่กัน เรามีสิ่งนี้ให้แก่เพื่อน ไม่มีใครคลานเข้ามาเพื่อเอื้อมมือมาแตะเรา เมื่อเราล้มลง” (น.125) ซึ่งทั้งสองตัวบทแสดงให้เห็นถึงพลังอำนาจ ของผู้ที่ครอบครองอาวุธสงคราม ว่ามีสิทธิ์มีเสียงในการควบคุมและพรากชีวิตของบุคคลตามที่ตนเองต้องการให้ เป็นไปในทิศทางใดก็ตาม เป็นต้น

 

ประเด็นที่สอง การต่อสู้ของชนชั้นรากหญ้า เป็นการต่อสู้ของเหล่าราษฎรที่ทวงความยุติธรรมสู่ตนเองและ เหล่าเพื่อนพ้อง  ครอบครัว  การใช้ความรุนแรงไม่เพียงแต่เกิดขึ้นกับผู้ที่มีอำนาจกระทำต่อประชาชนเท่านั้น แต่ ประชาชนก็โต้ตอบอำนาจของรัฐเช่นเดียวกัน ทั้งนี้สามารถเกิดขึ้นกับคนเบี้ยล่างที่อยู่ในสถานะชนรากหญ้า เพื่อ เป็นการหลีกหนีจากความตาย จนมาสู่การพรากชีวิตของฝ่ายศัตรู แม้เป็นการใช้วิธีการที่ไม่ถูกต้อง แต่เพื่อเป็น การเรียกร้องและรักษาชีวิตของตนเอง ก่อนที่จะถูกเขาพรากจากไป เห็นได้จากตัวบทดังนี้

 

“ขณะกองกำลังทั้งหมู่ลาดตระเวนไปในป่าทึบ ไม่มีวี่แววใด ๆ อันส่อให้เห็นว่าจะถูกซุ่มโจมตีในวินาที ข้างหน้า...ครั้นแล้วการโจมตีพลันบังเกิดขึ้น โดยรวดเร็วและไม่เปิดโอกาสให้ เสียงปืนกัมปนาทถี่ยิบ ใบไม้ฉีกขาด ต้นไม้กระจุยกระจาย ฝุ่นคลุ้งไปทั้งบริเวณ กลิ่นคาวเลือดสดตลบอบอวน ร่างคนระเนนระนาดดิ้นพลาด” (น.130)

 

ตัวบทดังกล่าวที่ยกมา แสดงให้เห็นว่าหากอีกฝ่ายรับรู้ถึงการเสียเปรียบ หรือเจ็บปวดจากความรู้สึกที่ไม่ เป็นธรรม อาจส่งผลต่อการเกิดสงคราม ความเสียหายต่าง ๆ แม้เป็นเพียงความเสียหายในบางส่วน หากเกิดขึ้น บ่อยครั้ง อาจส่งผลต่อการสั่นคลอนของความเชื่อเดิม หรือถูกแทนที่ด้วยไฟสงครามที่ลามทุ่งไม่จบสิ้น ผู้วิจารณ์มี ความเห็นว่า การใช้ความรุนแรงของทั้งสองฝ่ายจะนำมาซึ่งผลเสียในหลายประการ ดังนั้นการปรากฏขึ้นของตัวละครพระ สามารถตีความได้ว่า ตัวละครทหารและหญิงชราในเรื่องมีความบกพร่องในศีลธรรม จึงเล็งเห็น ความสำคัญของศีลธรรม ดังนั้นแล้วพระมีบทบาทเป็นผู้สอนธรรมมะและศาสนาให้มีความเห็นอกเห็นใจมนุษย์ และมีจิตเมตตากรุณาต่อทุกสรรพสัตว์ เป็นต้น

 

การต่อสู้ดังกล่าวของเหล่าประชาชน เป็นการเปล่งเสียงอันน้อยนิดของตนเองเพื่อสื่อให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้ที่ กำลังเกิดขึ้นอยู่ในสังคมคือ ความผิดแผกในจิตใจของมนุษย์เมื่อไร้ซึ่งศีลธรรมเคียงกาย จึงครอบงำ ด้วยอารมณ์ จิตใต้สำนึกและแสดงออกถึงการกีดกันในรูปแบบดังนี้ “ขณะไฟกำลังข้ามบิ้งนาข้างหน้าเข้ามาหาแก พวกผู้ชาย พยายามลากแกให้ออกไปจากวิถีไฟที่กำลังคลั่งบ้า ทว่า ความบ้าคลั่งในตัวหญิงชรากลับรุนแรงกว่า ... กูไม่ไป ให้ มันไหม้กู ให้มันไหม้กู กูไม่ไป” (น.134) ซึ่งข้อความดังกล่าวสื่อให้ถึงถึงความเสียหายของสงครามที่หล่อหลอมให้ บุคคลคนหนึ่งสูญสิ้นจิตวิญญาณภายในของตัวเอง จึงพยามยามทำทุกวีถีทางเพื่อยุติทุกสิ่ง โดยเปรียบเทียบผ่าน ไฟลามทุ่งและการกรีดร้องของหญิงชรา เป็นต้น

 

เรื่องสั้นเรื่องนี้นำเสนอความเหนือกว่าของอำนาจรัฐ แต่ในขณะเดียวกันก็แสดงให้เห็นถึงความพยายาม ต่อสู้ของชนชั้นรากหญ้า โดยภาพรวมแล้วผู้วิจารณ์ต้องการตีแผ่สังคมไทยในยุคสมัยนั้นที่เกิดการปฏิวัติของสอง ฝ่าย เพื่อเรียกร้องหรือประท้วงกฎหมายที่ไม่เที่ยงตรง จากความจริงที่เป็นอยู่ จึงแสดงออกผ่านความรุนแรงและ สงครามที่เกิดขึ้นภายในเรื่องสั้นเรื่องนี้ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้สะพานจะมีความแข็งแรงและคงทน หากแต่เกิดการย่ำ เหยียบด้วยแรงที่มหาศาล อาจส่งผลให้ สะพานขาด ลงมาได้ในสักวันหนึ่ง

 

 

 

บทวิจารณ์โดย นางสาวรุสมี ลาแม
โครงการ อ่าน เขียน เรียนรู้ สู่ งานวิจารณ์ ปีที่ 10

Writer

The Reader by Praphansarn